กรุงไทยเผยค่าบาทเปิดตลาดที่ 33.58 กังวลสงครามยูเครน-นโยบายเฟด

322 views 3:58 am 0 Comments April 8, 2022

Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย (KTB) ระบุค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 33.58 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 33.43 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ วันที่ 5 เมษายน) และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-33.70 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงวันหยุดในฝั่งไทย ตลาดการเงินโดยรวมกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องจากความกังวลทั้งปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน จากแนวโน้มบรรดาประเทศฝั่งตะวันตกอาจเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย รวมถึงประเด็นล่าสุด คือ ความกังวลแนวโน้มเฟดเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น การขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% ในการประชุมเดือนพฤษภาคม หรือการประชุมครั้งถัดๆ ไป และการเร่งปรับลดงบดุล (QT) ในอัตราที่สูงขึ้นกว่าในการลดงบดุลในรอบปี 2017-2019

โดยความกังวลเฟดเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นได้เพิ่มสูงขึ้น หลังเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งก่อนหน้ามักจะสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่ไม่เข้มงวดมากนัก อย่าง Lael Brainard ได้ออกมาสนับสนุนการเร่งขึ้นดอกเบี้ย พร้อมกับเร่งลดงบดุล นอกจากนี้ รายงานการประชุมเฟดเดือนมีนาคม (FOMC Meeting Minutes) ที่เฟดเปิดเผยในเวลา 01.00 น. ตามเวลาในประเทศไทยยังได้ระบุอีกว่า เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่เห็นชอบการเร่งลดงบดุล โดยเบื้องต้นประเมินอัตราการลดงบดุลสูงสุดสำหรับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ที่ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ และสำหรับตราสาร Agency MBS, MBS ที่ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่เฟดหลายท่านเห็นชอบการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมครั้งถัดๆ ไป เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ
ท่าทีของเฟดที่อาจเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ได้กดดันให้ในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดต่างเทขายหุ้นเทคฯ กดดันให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลงกว่า -2.22% ส่วนดัชนี S&P500 ปรับตัวลดลงราว -0.97% ขณะที่ดัชนี Dowjones ซึ่งมีหุ้นเทคฯ น้อย ย่อตัวลงเพียง -0.42%

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่าเงินบาทยังคงผันผวนในกรอบกว้าง โดยในระหว่างวัน เงินบาทอาจอ่อนค่าต่อได้จากแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าที่มาจากแนวโน้มเงินดอลลาร์ที่ยังคงแข็งค่าอยู่ จากความกังวลของตลาดต่อสถานการณ์สงคราม รวมถึงท่าทีการเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของเฟด ขณะเดียวกัน ปัญหาการระบาดของ COVID-19 ในจีนอาจยังคงกดดันบรรยากาศการลงทุนในฝั่งเอเชีย

อย่างไรก็ดี มองว่าเงินบาทอาจผันผวนในช่วงใกล้รับรู้รายงานการประชุมของ ECB เพราะหาก ECB ส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ยได้ อาจหนุนให้เงินยูโรแข็งค่าขึ้นและกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง นอกจากนี้ ในระหว่างวันควรจับตาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยเรามองว่า ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ยังเดินหน้าซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทยจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนไม่ให้เงินบาทอ่อนค่าไปมากในระยะนี้ได้

อนึ่ง เงินบาทยังคงมีแนวต้านในโซน 33.70 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าบรรดาผู้ส่งออกต่างรอขายเงินดอลลาร์ในช่วงดังกล่าว ส่วนแนวรับสำคัญในระยะสั้นจะอยู่ในช่วง 33.20 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งบรรดาผู้นำเข้าอาจรอจังหวะ buy on dip อยู่ ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง เราแนะนำว่าผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย เช่น ใช้ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

ในฝั่งภาพรวมตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 99.57 จุด ทำจุดสูงสุดใหม่ในปีนี้ และเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมในปี 2020 ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์สงครามและความไม่แน่นอนของการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครน รวมถึงแนวโน้มเฟดเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งนี้ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น ทว่า ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดยังคงหนุนให้ผู้เล่นบางส่วนยังคงถือครองทองคำ เพื่อหลบความผันผวนในระยะสั้น ทำให้ราคาทองคำสามารถทรงตัวเหนือระดับ 1,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้

สำหรับวันนี้ ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ตลาดจะรอติดตามรายงานการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ล่าสุด เพื่อประเมินโอกาสที่ ECB อาจขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หลังอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่การฟื้นตัวเศรษฐกิจยุโรปอาจยังมีความไม่แน่นอนอยู่จากผลกระทบของสงคราม ซึ่งหาก ECB ยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจและมองว่ามีโอกาสที่ ECB อาจขึ้นดอกเบี้ยได้ในปีนี้ อาจจะเป็นปัจจัยที่หนุนให้เงินยูโร (EUR) แข็งค่าขึ้นได้บ้าง

นอกเหนือจากรายงานการประชุมล่าสุดของ ECB และแนวโน้มสถานการณ์สงคราม รวมถึงการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครน เรามองว่าผู้เล่นในตลาดควรติดตามสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในจีน ที่ยังมีการระบาดที่รุนแรงอยู่และอาจกดดันแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีนในระยะสั้น ซึ่งอาจส่งผลมายังบรรยากาศตลาดการเงินในฝั่งเอเชียได้

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ดิ่งลงกว่า -2.38% เช่นกัน จากแรงขายหุ้นในกลุ่ม Cyclical ท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มการใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียเพิ่มเติม โดยเฉพาะการคว่ำบาตรพลังงานจากรัสเซีย ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นยุโรปต่างเร่งเทขายหุ้นเทคฯ ตามฝั่งสหรัฐฯ เช่นกัน นำโดย Adyen -7.2%, ASML -4.6% อนึ่ง เราคงมองว่าตลาดหุ้นยุโรปยังคงมีความเสี่ยงที่จะผันผวนต่อในระยะสั้น จากความไม่แน่นอนของสงครามและการเจรจาสันติภาพ ทำให้ Risk/Reward ยังไม่น่าสนใจ และแนะนำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปไปก่อน

ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ผันผวนหนัก โดยในช่วงแรกบอนด์ยิลด์ 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้นแตะดับ 2.65% จากแนวโน้มการเร่งลดงบดุลของเฟด ก่อนที่จะย่อตัวลงในช่วงหลัง จากความกังวลว่าการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอาจกดดันเศรษฐกิจและนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) และภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดโดยรวม กดดันให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงและยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 2.58% อย่างไรก็ตาม เรามองว่าบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้หากความกังวลปัญหาสงครามลดลง และตลาดกลับมารับรู้การเร่งลดงบดุลของเฟดในระยะถัดไปมากขึ้น

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket